วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

Image and video hosting by TinyPic
...เรียงความเรื่องแม่...

...จุดเริ่มต้นเรื่องราวปวดร้าวยิ่ง
ได้แต่นิ่งเกินจำหลักวาดอักษร
ครูให้เขียนการบ้านเรื่องมารดร
หนูสะท้อนทุกครั้ง...หลั่งน้ำตา

จักให้เขียนเริ่มต้นจนใจแท้
คำว่า “ แม่ ”..ยิ่งใหญ่จริงไหมหนา
ตั้งแต่จำความได้ในจินตนา
ภาพใบหน้า..แม่นั้นเป็นฉันใด

ตั้งแต่หนูลืมตามาดูโลก
พบแต่โศก..หดหู่ครูรู้ไหม
รสสัมผัสอันอบอุ่นที่คุ้นใจ
เป็นอย่างไรไม่รู้..หนูไม่มี

เห็นคนอื่นพร้อมพรั่งทั้งแม่พ่อ
เฝ้าพะนอเอาใจให้สุขี
ยามหกล้มช่วยยื้อยุดฉุดชีวี
ปลอบฤดีเรียกขวัญพลันกลับคืน

เฝ้าประคองสองมือแม่ดูแลลูก
รักพันผูกห่วงใยมิใช่ฝืน
ต่างกับหนูยามช้ำต้องกล้ำกลืน
ก้อนสะอื้นในอกจนตกใน

ไร้คำปลอบยามหม่นต้องทนทุกข์
ไร้คำปลุกยามพรั่นหวาดหวั่นไหว
ไร้ที่พึ่งพักพิงอิงทางใจ
ไร้สิ่งใดที่ใครเขามีกัน..

ยามจะนอนไร้ลำนำบทขับกล่อม
ที่รายล้อมคือความเหงาเศร้าโศกศัลย์
กอดตัวเองอุ่นกายในบางวัน
แต่ใจนั้นหนาวอยู่มิรู้คลาย

แทนความนัยตอกย้ำเด็กกำพร้า
คือน้ำตาหยาดรินมิสิ้นสาย
อยากจะเขียนเสกสรรค์คำบรรยาย
สื่อความหมายคล้ายสมองต้องตีบตัน

จึงยากเค้นอักษรป้อนความหมาย
ที่เรียงรายคือน้ำตามาปลอบขวัญ
แทนหยาดหมึกจารึกไว้นัยสำคัญ
ถึงแม่นั้น..คือน้ำตาที่พร่านอง

จารจากใจถึงแม่จ๋า..ว่าลูกรัก
ชาตินี้ลูกบุญน้อยนักจักสนอง
หากชาติหน้าถ้ามีให้สมปอง
ทุกครรลองพร้อมหน้ากันสวรรค์ดล

กระดาษเปล่าเล่าความด้วยน้ำตา
แทนอักษราเรียงความติดตามผล
ส่งคืนครูด้วยใจหากได้ยล
หนูหมองหม่นทุกทีที่เรียงความ..

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ : thaipoem.com โดยคุณ เฌอมาลย์




อุ้มรัก

อุ่นใดเล่าอุ่นนักอุ่นรักเจ้า
อุ่นที่เฝ้าดูแลและถนอม
อุ่นสายใยผูกพันทุกวันยอม
อุ่นในอ้อมกอดรักฟูมฟักรอ

ให้เจ้าได้เติบใหญ่ในครรภ์น้อย
เก้าเดือนคอยหัวใจไม่เคยท้อ
เก็บความรักความหวังพลังพอ
เพียงแค่ขอให้เจ้าเฝ้าเติบโต

จะเก็บเกี่ยวความฝันทุกวันไว้
เจ้าเติบใหญ่รายล้อมพร้อมสุขโข
ให้สมบูรณ์แข็งแรงแกร่งกล้าโชว์
เป็นสายโซ่เกี่ยวรัดผูกมัดใจ

ให้เจ้าเป็นเด็กดีปรีดานัก
รักทอถักยืนยงอสงไขย
เป็นความหวังของพ่อแม่ต่อไป
อิ่มอุ่นใดอุ่นเท่ารักเจ้าเอย..

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ จาก Thaipoem.com โดยคุณ ยาแก้ปวด



ก่อนแม่จะสิ้นลม

แม่จ๋าช่วยหนูด้วย
ครวญครางให้ช่วยเจ็บปวด
กระโดดเต้นดิ้นพรวด
เฮือกสุดท้ายลมหายใจ

ดั่งหนึ่งตัวแตกดับ
มิอาจรับรู้ใดได้
ร้อนรุ่มราวสุมไฟ
อีกเย็นเยือกสลับกัน

ลูกน้อยนอนแน่นิ่ง
ทุกสรรพสิ่งมืดดับพลัน
แม่นี้จะฆ่ามัน
เจ้าชั่วช้ามาคุกคาม

เจ็บแปลบปวดแสบทั่ว
ราวเนื้อตัวต้องพิษหนาม
แผ่ซ่านรานรุกราม
ความมืดมิดเข้าครอบครอง

เลือนรางความรู้สึก
มิอาจนึกใดทั้งผอง
ตั้งจิตเข้าประคอง
เพื่อต่อต้านกับมวลพิษ

ก่อนที่จะม้วยมรณ์
ข้าขอวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขอยลลูกสักนิด
พร้อมสั่งลาก่อนลาไกล

ลมหายสุดท้ายก่อนไกลร่าง
ทั่วสรรพางค์หน่วงหนักพักทุกสิ่ง
แว่วแว่วเสียงแม่จ๋าอย่าทอดทิ้ง
ยังเล็กยิ่งลูกจะอยู่กับผู้ใด

ความรู้สึกขาดห้วงยังห่วงลูก
เจ้าบุญปลูกของแม่อยู่ที่ไหน
มาให้แม่ยลยินจวนสิ้นใจ
ก่อนที่แม่จะหลับใหลชั่วนิรันดร์

ปีกบางกางโอบลูกน้อยกลอยใจ
มิอาจขยับได้เพียงไหวสั่น
เคลื่อนเพียงปลายปีกขนที่เบาเท่านั้น
ลูกน้อยร้องลั่นแทรกซบอกเอย

งูเห่าเอยใยเจ้าใจร้ายนัก
กล้าพรากรักแม่ลูกสุขเสวย
แล้วหลบเลื้อยหนีไปไม่เหลือเลย
สองชีวีสังเวยที่เหลืออยู่ใย

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ : Thaipoem.com โดยคุณ นรศิริ



กอดของแม่

อุ่นอันใดในหล้าที่ว่าอุ่น
ไม่ละมุมทดแทนเท่าแขนแม่
ที่ตวัดโอบร่างอย่างดูแล
ยามลูกแพ้ด้วยฤทธิ์พิษสังคม

มือแม่นั้นโอบมาจากบ่าซ้าย
แนบเรือนกายกลางหลังฝังความขม
ตบเบาเบาหมายให้ไล่ความตรม
ดุจสายลมอบอุ่นละมุนละไม

น้ำตาลูกรินลงอยู่ตรงหน้า
แม้เหนื่อยล้าเจ็บท้อเพียงขอให้
รอยกอดนั้นลึกล้ำมาค้ำใจ
ตลอดไปชั่วกาลนานนิรันดร์

ลูกวันนี้อยู่อย่างห่างคนกอด
คำพร่ำพลอดห่วงใยไกลเกินฝัน
แขนที่โอบแนบสนิทติดชีวัน
ก็มีอันจากไปในเวลา

ลูกจะรอวันหนึ่งถึงวันนั้น
วันที่ฝันอบอุ่นยังกรุ่นฟ้า
วันที่ต้องทดท้อต่อชะตา
วันเหว่ว้ามาเตือนเยือนชีวี

ลูกจะหยิบมือแม่วางกลางศีรษะ
อย่าปล่อยนะวางไว้ตรงใจนี่
ด้วยความรักศรัทธาและปรานี
ให้ลูกนี้ยืนหยัดในบัดดล...

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ : Thaipoem.com โดยคุณ นักสืบ ไร้อันดับ



คำสอน..ของแม่

เสียงที่เคย เอ่ยฟัง ยังคงอยู่
เฝ้าอุ้มชู เลี้ยงดู มิรู้หน่าย
คอยฟูมฟัก ด้วยรัก ลูกมากมาย
มิท้อใจ ขอให้ ลูกได้ดี

ความฉลาด แม่อาจ วาดไม่ได้
ลูกต้องใช้ หัวใจ ไล้แต้มสี
ประสบการณ์ ก้าวผ่าน เนิ่นนานมี
กลวิธี แห่งชีวี ที่มีมา

แม่อยากให้ ใจลูก คิดถูกต้อง
จงไตร่ตรอง พิศมอง ผองปัญหา
ทางสายกลาง ทิศทาง สร้างปัญญา
รักศรัทธา ค่าความดี ที่เจ้าทำ

เมื่อลูกเห็น ใครลำเค็ญ อย่าเข่นข้อง
เข้าทำนอง กองไม้ล้ม ก้มเหยียบย่ำ
เฝ้าคิดร้าย ต่อใคร ไม่ควรทำ
ลูกจงจำ ถ้อยคำ แม่ย้ำเตือน

จงก้าวเดิน เผชิญจิต ลองผิดถูก
เมื่อคิดผูก ต้องลุก กระตุกเงื่อน
ด้วยตัวเรา เท่านั้น อย่าฟั่นเฟือน
คิดเลอะเลือน เงื่อนตาย ได้อายตัว

จงเรียนรู้ สู่ทาง อย่างอดกลั้น
มิหวาดหวั่น พลันตก อกสลัว
ใช้สมอง ตรองพิศ อย่าคิดกลัว
ดีหรือชั่ว ตัวเรา ย่อมเข้าใจ

ลูกมีสิทธิ์ คิดฝัน ทุกวันวี่
แต้มชีวี สีสัน อันสดใส
แม้นไม่อาจ วาดฝัน ได้ทันใด
สู้ต่อไป อย่าสิ้นไร้ ในใจตน

ยามใดสุข เผื่อทุกข์ เข้าปลุกปลอบ
นี่คือกรอบ ครอบใจ ได้ทุกหน
ทางชีวิต ลิขิตวาง อย่างแยบยล
บรรลุผล หลุดพ้น วังวนกรรม

แม่อยากให้ ยิ้มไว้ ทั่วใบหน้า
ใครว่าบ้า อย่าสน คนพูดพร่ำ
ยิ้มเพื่อได้ ล้างใจ ใคร่ควรทำ
ยิ้มประจำ นำชีวิต จิตเบิกบาน

มีสิ่งหนึ่ง พึงจำ ในคำแม่
ความจริงแท้ แน่วแน่ ไม่แปรผัน
พูดโกหก เหมือนตก นรกพลัน
ทุกข์อนันต์ มหันต์ภัย ดั่งไฟฟอน

กำลังใจ แม่ให้ ไม่มีหมด
มิเลี้ยวลด จำจด ทุกบทสอน
พระคุณแม่ แท้จริง ยิ่งสาคร
ประนมกร อ่อนแนบ แทบเท้าเอย

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ : Thaipoem.com โดยคุณ เที่ยนหยด



แม่...ผู้น่าสงสาร

แม่ของลูกแก่เฒ่าอยู่เฝ้าบ้าน
ลูกสำราญร่ำสุราหาความสุข
แม่ไหว้พระทุกวันหวังพ้นทุกข์
ลูกสนุกในคลับบาร์ทุกราตรี
แม่เฝ้าคิดถึงลูกผูกพันจิต
ลูกกลับคิดเพรียกหายอดยาหยี
แม่ไปวัดทุกวันหมั่นทำดี
ลูกกินเหล้าเคล้านารีทุกวี่วัน
แม่หวังว่าสักวันฝันของแม่
ใจจริงแท้ที่แม่มีที่แม่ฝัน
หวังเพียงลูกได้ดีสุขชีวัน
สุดท้ายนั้นความหวังแม่...แค่ฝันไป

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ : Thaipoem.com โดยคุณ ฅนไพร




ใกล้ถึงวันแม่แล้วลูกรัก

ครบเก้าเดือนอุ้มท้องเจ้าร้องไห้
ใคร?เจ็บเจียนขาดใจกลับไม่บ่น
เลือดทั้งกายกลั่นไหลเป็นสายปน
รักเข้มข้นพันผูกให้ลูกยา

จนผ่านวันผ่านเดือนหมุนเคลื่อนคล้อย
เจ้าเด็กน้อยเริ่มมีแรงเริ่มแกร่งกล้า
ค่อยสอนเดินสอนทำสอนคำจา
สอนวิชาเรียนรู้ไว้คู่ใจ

จากวันนั้นถึงวันนี้หลายปีผ่าน
จนวันวารเปลี่ยนสู่วัยผู้ใหญ่
ส่งเรียนสูงศึกษามหาวิทยาลัย
ได้อาศัยลูกแน่ยามแก่ชรา

สู้อาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนัก
เพื่อลูกรักได้ผ่านการศึกษา
เล่าเรียนจบจนคว้าปริญญา
แม่ภูมิใจลูกมีตราปัญญาชน

มีครอบครัวอยู่เย็นเป็นฝั่งฝา
คงหมดภาระใจไม่หมองหม่น
ลูกคงมีความสุขไม่ทุกข์ทน
แม่คนนี้ย่างเข้าแล้ววัยชรา...

นี่ใกล้ถึงวันแม่แล้วลูกรัก..
อยากทายทักถามไถ่ได้พบหน้า
สบายดีหรือเปล่าเจ้าลูกยา
สื่อภาษาความรักจากหญิงนึง
มีรูปถ่ายเก่าเก่าคลายเหงาบ้าง
มีไอ้ด่างข้างกายคลายคิดถึง
ภาพลูกน้อยผ่านวัยให้รำพึง
เงียบหายซึ่งข่าวคราวเจ้ากลอยใจ

นั่น...หญิงชรา
แลนัยน์ตาหม่นหมองอยากร้องไห้
ฝากสายลมแสงดาวกล่าววอนไป
ขอกลอยใจกลับคืนถิ่นก่อนสิ้นลม

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ : Thaipoem.com โดยคุณ ธันวันตรี




แม่รักลูก..ลูกก็รู้อยู่ว่ารัก
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน
จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว

ขอขอบคุณ กลอนวันแม่ บางส่วนจากบทเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน

คำขวัญวันแม่ 2554





คำขวัญวันแม่ 2554

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญที่คนไทยทุกคนรู้กันดีว่า ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และถือเป็น "วันแม่แห่งชาติ" ของประเทศไทยที่ทุกคนให้ความสำคัญ ซึ่งนับตั้งแต่วันแม่แห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2544 เป็นต้นมา ก็จะมีการตั้งคำขวัญประจำวันแม่แห่งชาติ เพื่อให้ลูก ๆ ทุกคนได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อมารดา

          และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่วันแม่แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 เป็นต้นมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติแก่สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจะนำไปเผยแพร่เทิดพระคุณแม่ทั่วประเทศ

โดยคำขวัญวันแม่ประจำปีต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
 
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2544


         "พระองค์แรกผู้แสนดีให้ชีวิต  ครูคนแรกผู้ประสิทธิ์การศึกษา สองหัตถ์โอบนคราพาร่มเย็น รวมคุณค่านี้ได้แก่แม่เราเอง" 

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2545

         "แม่คือพระประจำอยู่ในบ้าน  บูชาท่านไว้เถิดเกิดมิ่งขวัญ พระคุณแม่เลิศล้ำเกินรำพัน แม่จึงเป็นคนสำคัญทุกวันไป"


 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2546

         "สามร้อยหกสิบห้าวันคือวันแม่  มิใช่แค่วันใดให้นึกถึงสม่ำเสมอสมัครจิตคิดคำนึง เหมือนแม่ซึ่งรักลูกครบทุกวัน"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2547
          สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า
         "แม่คือผู้ให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด นอกจากความรักความเข้าใจจากลูก"
           พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า
         "แม่ไม่อาจอยู่กับลูกได้ชั่วชีวิต ควรสอนให้เขารู้จักคิดและเลือกปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง"


 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2548

         "ดุจดังแม่ผู้ประเสริฐบังเกิดเกล้า เลี้ยงเราทุกคนมาจนใหญ่ ทุกคำข้าวคือสินแผ่นดินไทย ควรตรองใจทดแทนคุณแผ่นดิน"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2549
 
         "รักในหลวงพร้อมใจใส่เสื้อเหลือง รักบ้านเมืองจงน้อมใจให้สร้างสรรค์ ใส่สีเดียวแล้วใจเดียวกลมเกลียวกัน รักเช่นนั้นชาติของตนจึงพ้นภัย"


 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2550
         "ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณ คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2551
         "เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่น หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน จักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2552

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2553 ความว่า

          "แผ่นดินนี้ปู่ย่าตายายสร้าง  เคยทอดร่างลงถมถิ่นแผ่นดินแม่ ขอลูกไทยรักษามั่นไม่ผันแปร   เป็นไทยแท้มิใช่ไทยแต่ในนาม"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2553

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2553 ความว่า

          "แผ่นดินนี้แม่ของลูกใช้ปลูกข้าว กี่แสนก้าวที่เดินซ้ำย่ำหว่านไถ บำรุงดินจนอุดมสมดังใจ หวังนาไทยเป็นของไทยไปนิรันดร์"
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2554

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2553 ความว่า

         
 "เพลงชาติไทยเตือนไทยไว้เช้าค่ำ ให้จดจำจารึกใจไว้ทุกส่วน จะดำรงคงไทยได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี"

  


  
                      วันแม่นี้ขอให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งมีความสุข
                                                                               love  mother
                                                                  หนูดีใจที่ใด้เกิดเป็นลูกแม่ค่ะ

ดนตรีไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วงมโหรีโบราณเครื่องหก
ดนตรีไทย เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทย ได้รับอิทธิพลมาจาก ประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และอื่น ๆ เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตี เป่า

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ประวัติ

ในสมัยกรุงสุโขทัย ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่น วรรณคดี "ไตรภูมิพระร่วง" กล่าวถึงเครื่องดนตรี ได้แก่ ฆ้อง กลอง ฉิ่ง แฉ่ง (ฉาบ) บัณเฑาะว์ พิณ ซอ ปี่ไฉน ระฆัง กรับ และกังสดาล
สมัยกรุงศรีอยุธยา มีวงปี่พาทย์ที่ยังคงรูปแบบปี่พาทย์เครื่องห้าเหมือนเช่นสมัยกรุงสุโขทัย แต่เพิ่มระนาดเอกเข้าไป นับแต่นั้นวงปี่พาทย์จึงประกอบด้วย ระนาดเอก ปี่ใน ฆ้องวงใหญ่ กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง ส่วนวงมโหรีพัฒนาจากวงมโหรีเครื่องสี่ เป็นมโหรีเครื่องหก เพิ่มขลุ่ย และรำมะนา รวมเป็นมี ซอสามสาย กระจับปี่ ทับ (โทน) รำมะนา ขลุ่ย และกรับพวง
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มจากรัชกาลที่ 1 เพิ่มกลองทัดเข้าวงปี่พาทย์อีก 1 ลูก รวมเป็น 2 ลูก ตัวผู้เสียงสูง ตัวเมียเสียงต่ำ รัชกาลที่ 2 ทรงพระปรีชาสามารถการดนตรี ทรงซอสามสาย คู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้าฟาด และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย บุหลันลอยเลื่อน รัชสมัยนี้เกิดกลองสองหน้าพัฒนามาจากเปิงมางของมอญ พอในรัชกาลที่ 3 พัฒนาเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มคู่กับระนาดเอก และฆ้องวงเล็กให้คู่กับฆ้องวงใหญ่
รัชกาลที่ 4 เกิดวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่พร้อมการประดิษฐ์ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก รัชกาลที่ 5 สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงคิดค้นวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์ ในรัชกาลที่ 6 นำวงดนตรีของมอญเข้าผสมเรียกวงปี่พาทย์มอญโดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มีการนำอังกะลุงเข้ามาเผยแพร่เป็นครั้งแรก และนำเครื่องดนตรีต่างชาติ เช่น ขิม ออร์แกนของฝรั่งมาผสมเป็นวงเครื่องสายผสม แล้วจึงเป็นดนตรีไทยที่เราได้เห็นจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งความแตกต่างระหว่างวงต่างๆ ผู้ประพันธ์ท่านต่างๆ

[แก้] ลักษณะ

ลักษณะการประสานเสียงของดนตรีไทยตามแบบโบราณนั้น ใช้หลัก อาศัยสีเสียง (Tone color) ของเครื่องดนตรีเป็นเครื่องแยกแต่ละแนวทำนอง คือให้เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นประสานเสียงกันแบบแนวนอน คือให้เสียงลูกตกตรงกัน มากกว่าประสานแบบแนวตั้งที่อาศัยคอร์ด (chord) เป็นพื้นฐานหลักตามแบบสากล

[แก้] ลีลาดนตรีไทย

ลีลาเครื่องดนตรีไทย หมายถึงท่วงท่าหรือท่วงทำนองที่เครื่องดนตรีต่างๆได้บรรเลงออกมา สำหรับลีลาของเครื่องดนตรีไทยแต่ละเครื่องที่เล่นเป็นเพลงออกมา บ่งบอกถึงคุณลักษณะและพื้นฐานอารมณ์ที่จากตัวผู้เล่น เนื่องมาจากลีลาหนทางของดนตรีไทยนั้นไม่ได้กำหนดกฏเกณฑ์ไว้ตายตัวเหมือนกับดนตรีตะวันตก หากแต่มาจากลีลาซึ่งผู้บรรเลงคิดแต่งออกมาในขณะเล่น เพราะฉะนั้นในการบรรเลงแต่ละครั้งจึงอาจมีทำนองไม่ซ้ำกัน แต่ยังมี ความไพเราะและความสอดคล้องกับเครื่องดนตรีอื่นๆอยู่
ลักษณะเช่นนี้ได้อิทธิพลมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่มี"กฎเกณฑ์" อยู่ที่การวาง "กลอน" ลงไปใน "ทำนองหลัก" ในที่นี้ หมายถึงในเพลงไทยเดิมนั้นเริ่มต้นด้วย "เนื้อเพลงแท้ๆ" อันหมายถึง "เสียงลูกตก" ก่อนที่จะปรับปรุงขึ้นเป็น "ทำนองหลัก" หรือที่เรียกว่า "เนื้อฆ้อง" อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งในชั้นเนื้อฆ้องนี้ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นทำนองห่างๆ ยังไม่มีความซับซ้อนมาก แต่ยังกำหนดลักษณะในการเล่นไว้ให้ผู้บรรเลงแต่ละคนได้บรรเลงด้วยลีลาเฉพาะของตนในกรอบนั้นๆ โดยลีลาที่กล่าวมาก็หมายถึง "กลอน" หรือ "หนทาง" ต่างๆที่บรรเลงไปนั่นเอง

[แก้] วงดนตรีไทย

ดนตรีไทยมักเล่นเป็นวงดนตรี มีการแบ่งตามประเภทของการบรรเลงที่เป็นระเบียบมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันเป็น 3 ประเภท คือ
ประกอบด้วยเครื่องตีเป็นสำคัญ เช่น ฆ้อง กลอง และมีเครื่องเป่าเป็นประธานได้แก่ ปี่ นอกจากนั้นเป็นเครื่อง วงปี่พาทย์ยังแบ่งไปได้อีกคือ วงปี่พาทย์ชาตรี,วงปี่พาทย์ไม้แข็ง,วงปี่พาทย์เครื่องห้า,วงปี่พาทย์เครื่องคู่,วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่,วงปี่พาทย์ไม้นวม,วงปี่พาทย์มอญ,วงปี่พาทย์นางหงส์
เครื่องสาย ได้แก่ เครื่องดนตรี ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีสายเป็นประธาน มีเครื่องเป่า และเครื่องตี เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ เป็นต้น ปัจจุบันวงเครื่องสายมี 4 แบบ คือ วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว,วงเครื่องสายเครื่องคู่,วงเครื่องสายผสม,วงเครื่องสายปี่ชวา
ในสมัยโบราณเป็นคำเรียกการบรรเลงโดยทั่วไป เช่น "มโหรีเครื่องสาย" "มโหรีปี่พาทย์" ในปัจจุบัน มโหรี ใช้เป็นชื่อเรียกเฉพาะวงบรรเลงอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเครื่อง ดีด สี ตี เป่า มาบรรเลงรวมกันหมด ฉะนั้นวงมโหรีก็คือวงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ ผสมกัน วงมโหรีแบ่งเป็น วงมโหรีเครื่องสี่,วงมโหรีเครื่องหก,วงมโหรีเครื่องเดี่ยว หรือ มโหรีเครื่องเล็ก,วงมโหรีเครื่องคู่

 เครื่องดนตรีไทย

เครื่องดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะการทำให้เกิดเสียงได้เป็น 4 ประเภท คือ ดีด สี ตี เป่า

      เครื่องดีด

       เครื่องสี

        เครื่องตี

[แก้] เพลงดนตรีไทย

แบ่งได้เป็น 4 แบบคือ
  • เพลงหน้าพาทย์ ได้แก่ เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งของมนุษย์ ของสัตว์ ของวัตถุต่าง ๆ และอื่น ๆ
  • เพลงรับร้อง ที่เรียกว่าเพลงรับร้องก็ด้วยบรรเลงรับจากการร้อง คือ เมื่อคนร้องได้ร้องจบไปแล้วแต่ละท่อน ดนตรีก็ต้องบรรเลงรับในท่อนนั้น ๆ โดยมากมักเป็นเพลงอัตรา 3 ชั้นและเพลงเถา เช่น เพลงจระเข้หางยาว 3 ชั้น เพลงสี่บท 3 ชั้น และเพลงบุหลันเถา เป็นต้น
  • เพลงละคร หมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่าง ๆ ซึ่งหมายเฉพาะเพลงที่มีรัองและดนตรีรับเท่า นั้น เพลงละครได้แก่เพลงอัตรา 2 ชั้น เช่น เพลงเวสสุกรรม เพลงพญาโศก หรือชั้นเดียว เช่น เพลงนาคราช เพลงตะลุ่มโปง เป็นต้น
  • เพลงเบ็ดเตล็ด ได้แก่ เพลงเล็ก ๆ สั้น ๆ สำหรับใช้บรรเลงเป็นพิเศษ เช่น บรรเลงต่อท้ายเพลงใหญ่เป็นเพลงลูกบท หรือเพลงภาษา ต่าง ๆ ซึ่งบรรเลงเพื่อสนุกสนาน

[แก้] อ้างอิง

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลาสามารถแยกประเภทและชนิดได้อย่างไร

จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม

2. ในเนื้อปลามีสารอาหารชนิดใดบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ด้านหลัก : จะเป็นโปรตีน ซึ่งในเนื้อปลา จะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันจะมีอยู่บ้าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา อย่างในปลาน้ำจืด จะมีไขมันไม่มากนัก ยกเว้นพวกปลาสวาย หรือปลาสลิดตากแห้ง ส่วนปลาทะเล ก็จะมีไขมันอีกประเภท ซึ่งจะแตกต่างจากปลาน้ำจืด พวกที่เป็นกรดไขมัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เราพบว่า มันมีคุณค่าในแง่ ของการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และอาจจะช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือไขมันในเลือดสูง นอกจากนั้น เครื่องใน ตับปลา ก็จะมีน้ำมันและวิตามิน ในกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน เป็น วิตามิน A D E K และ แร่ธาตุ โดยเฉพาะในตัวปลาบางชนิด ที่เรารับประทานได้ ก็จะได้แคลเซียมด้วย
3. ปกติเราควรรับประทานอาหารประเภทปลามากน้อยเพียงใดต่อวัน
ปกติร่างกายของคนเรา จะต้องการโปรตีนแตกต่างกันไป แล้วแต่ช่วงวัย เช่น วัยเด็กจะต้องการโปรตีนสูง 1.2 - 1.5 ต่อ น้ำหนักต่อ 1 กิโลกรัม ในผู้ใหญ่ 0.8-1 กรัม ต่อ กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งในแต่ละวัน ก็ควรบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย
4. ในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง
ด้านหลัก : ก็จะได้โปรตีน เพราะโปรตีน เพราะโปรตีนในเนื้อปลา จะย่อยง่าย มีคุณค่าในแง่ของการบำรุงสมอง การพัฒนาสมองในเด็ก โดยเฉพาะปลาทะเล นอกจากจะได้โปรตีนแล้ว ยังจะได้แร่ธาตุไอโอดีน จะมีบทบาทในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะที่ไกลจากทะเล ก็จะมีความเสี่ยงก็จะเกิดโรคคอพอก ในกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นแหล่งโปรตีน ที่รับประทานง่าย ย่อยง่าย ก็จะเป็นประโยชน์ของปลา
5. ในกรณีที่แพ้อาหารทะเล ไม่สามารถรับประทานได้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ถ้าขาดอาหารทะเล ก็สามารถรับประทานปลาน้ำจืดแทนได้ แต่ถ้าไม่สามารถรับประทานปลาได้เลย เช่น เหม็นคาวปลา ก็ยังสามารถได้ในแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ไข่ดาว ถั่ว งา ร่างกายก็ยังจะได้โปรตีนเพียงพอ
6. การรับประทานปลาให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย

 
1.
รับประทานปลาที่ปรุงสุก
 
2.
เปลี่ยนประเภทของปลาไปเรื่อยๆ ลดปัญหาการปนเปื้อน
 
3.
บริโภคร่วมกับอาหารอื่นๆ ให้ครบทุกชนิด คือ อาหารหลัก 5 หมู่

7. ที่เรียกกันว่า น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา ควรรับประทานหรือไม่
ปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด จะมี 2 ประเภท คือ น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา

น้ำมันตับปลา มีจำหน่ายมานานแล้ว ซึ่งผู้ใหญ่จะนำมาให้เด็กๆ ทาน เพื่อเป็นยาบำรุง ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ ก็จะต้องการเสริมวิตามิน ซึ่งจะละลายในไขมัน A D E K ก็จะสกัดจากปลา มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ

แต่ในปัจจุบันนี้ ที่นิยมกันมากขึ้น คือ น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นสารสกัดไขมันจากปลาทะเล มีการศึกษาจากการเปรียบเทียบ เกี่ยวกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ในคนชาวเอสกิโม เมื่อเปรียบเทียบ กับชาวเอสกิโม จึงทำให้ชาวเอสกิโม มีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ น้อยกว่า นับว่าชาวเอสกิโม จะรับประทานปลามากกว่า จึงทำให้ได้รับสารอาหารกจากปลามากกว่า ซึ่งจะมีฤทธิลดกรดตัวของเกร็ดเลือด และลดไตรกีรเซอร์ไรด์ได้ดี ทำให้คนมีความสนใจมากขึ้น แต่จากการศึกษาทดลอง จากแพทย์สหรัฐอเมริกา พบว่า การบริโภคแต่น้ำมันปลาในรูปเม็ด ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจ และไม่ช่วยผู้ป่วย หายจากโรคหัวใจ
8. ข้อแนะนำช่วงท้ายรายการ : ข้อแนะนำเพื่อสุขภาพ

 
1.
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
 
2.
รับประทานอาหารให้พอเหมาะ
 
3.
รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยควบคุมลำดับน้ำตาลและไขมันในเลือด
 
4.
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันในปริมาณมาก
 
5.
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 
6.
งดการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา


วิธีการถนอมอาหาร

วิธีการถนอมอาหาร
ในบางฤดูกาลมีผลผลิตประเภทอาหารมากมาย ทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารสดๆได้หมด แต่เราสามารถเก็บรักษาอาหารนั้นไว้รับประทานต่อไปได้ด้วยวิธีการถนอมอาหาร ซึ่งการเลือกวิธีการถนอมอาหารที่เหมาะสมจะทำให้สามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้นาน และสามารถรับประทานได้ตลอดฤดูกาล โดยที่อาหารไม่บูดเน่าเสียหรือต้องทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
การถนอมอาหารด้วยวิธีการต่างๆมีดังนี้
การถนอมอาหารโดยตากแห้ง
1.การถนอมอาหารโดยตากแห้ง
เป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดมากที่สุด ใช้ได้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ โดยนำน้ำหรือความชื้นออกจากอาหารให้มากที่สุดเพื่อให้เอนไซม์ในอาหารไม่สามารถทำงานและบัตเตรีไม่สามารถที่เจริญเติบโตได้ในของแห้ง
สำหรับวิธีการตากแห้งอาจใช้ความร้อนหรือความร้อนจากแหล่งอื่น เช่น ตู้อบ เป็นต้นถ้าใช้แสงแดดควรมีฝาชีหรือตู้ที่เป็นมุ้งลวดป้องกันแมลงและฝุ่นละออง อาหารที่ผ่านวิธีการตากเเห้งแล้ว เช่น เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กล้วยตาก เป็นต้น
การดอง
2.การดอง
เป็นการถนอมอาหารโดยใช้สารปรุงแต่งให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน หรือมีรสผสมทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน อุปกรณ์ที่ใช้ดองควรเป็นพวกเครื่องแก้ว ไม่ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ เช่น หม้อ อะลูมีเนียม เป็นต้น เพราะในขณะดองอาจมีกรดเกิดขึ้นซึ่งกรดพวกนี้จะทำปฏิกิริยากับโลหะทำให้เกิดสารพิษในอาหรสำหรับปรุงรสที่ใช้ ได้แก่ เกลือ น้ำตาล น้ำส้มบริสุทธิ์ ส่วนอาหารที่ใช้วิธีดอง เช่น มะม่วงดอง ผักกาดดอง หน่อไม้ดอง เป็นต้น
การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาล
3.การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาล
การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาลนิยมใช้กับพวกผลไม้ โดยทั่วไปแล้วผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
จะนิยมใส่น้ำตาลมาก การใช้น้ำตาลเพื่อการถนอมอาหารมีหลายวิธี ดังนี้
การเชื่อม
1. การเชื่อม
ใช้ความเข้มข้นของน้ำตาลแตกต่างกันตามอัตราส่วน ดังนี้
1.น้ำเชื่อมใส ใช้น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 3 ถ้วย
2.น้ำเชื่อมปานกลาง ใช่น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 2 ถ้วย
3.น้ำเชื่อมเข้มข้น ใช้น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 1ถ้วยการเชื่อมนิยมใช้กับผลไม้บรรรจุกระป๋อง หรือขวด ที่เรียกว่า ลอยแก้ว เช่น เงาะกระป๋อง ลิ้นจี่กระป๋อง เป็นต้น
การทำแยม
2. การทำแยม
เป็นการใส่น้ำตาลในเนื้อผลไม้ที่มีน้ำปนอยู่ส่วนมาก แล้วกวนให้เข้ากัน เช่น แยมส้ม แยมสับปะรด เป็นต้น
การแช่อิ่ม
3.การแช่อิ่ม
เป็นการใส่น้ำตาลในปริมาณมาก โดยการแช่ในน้ำเชื่อม และเพิ่มความเข้มข้น ของน้ำเขื่อมจนถึงจุดอิ่มตัว แล้วนำมาทำแห้ง สมัยก่อนนิยมใช้วิธีการถนอมอาหารนี้กับผลไม้ ปัจจุบันนำผักหลายชนิดมาแช่อิ่ม แล้วจัดจำหน่ายจนเป็นที่นิยมในท้องตลาดเช่น ลูกตำลึง ก้านบอระเพ็ด ลูกมะกรูด เป็นต้น
การถนอมอาหารโดยการแช่แข็ง
4.การถนอมอาหารโดยการแช่แข็ง
การแช่เเข็งเป็นการถนอมอาหาร โดยการใช้อุณหภูมิต่ำ โดยการควบคุมจุลินทรีย์ และบัตเตรีไม่ให้สามารเจริญเติบโตได้ นิยมใช้กับอาหารสด อาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว และบรรจุภัณฑ์พร้อมจำหน่าย ซึ่งผู้บริโภคซื้อแล้วสามารถนำไปอุ่นก่อนรับประทาน ในปัจจุบันนิยมแพร่หลายถึงแม้ว่าจะมีราคาสูง เพราะช่วยประหยัดเวลาเเละเเรงงาน ในการประกอบอาหาร นอกจากนี้ อาหารแช่เเข็งจะสดและมีรสชาติดีกว่าอาหารกระป๋อง
การถนอมอาหารโดยใช้สารปรุงแต่งอาหาร
5.การถนอมอาหารโดยใช้สารปรุงแต่งอาหาร
การใช้สารปรุงแต่งอาหารเป็นการถนอมอาหาร เพื่อหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงการทำงาน
ของเอนไซม์หรือปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เก็บรักษาอาหารได้นานขึ้งหรือตกแต่งอาหาร
สารปรุงแต่งที่นิยมใส่ในอาหาร มีดังนี้
1.) สารกันบูด ถ้าใช้เพียงเล็กน้อยจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าใช้มากแม้แต่เกลือก็เป็นพิษต่อร่างกายไม่ควรใช้มากหรือบ่อยจนเกินไป ส่วนปริมาณที่ใช้อย่างปลอดภัย
ควรใช้สารกันบูด 1 กรัมต่อน้ำหนักอาหาร 1 กิโลกรัม
2) สีผสมอาหาร ควรใช้สีจากธรรมชาติ หรือสารเคมีที่ได้รับอนุญาตให้ใส่ในอาหาร ขององค์การเภสัชกรรม
3) สารเคมี ช่วยในการควบคุมความเป็นกรด ด่าง เกลือในอาหารควบคุมคุณสมบัติทางกายภาพของอาหาร ทำให้อาหารสด เช่น ทำให้ผลไม้สุกช้าหรือทำให้สุกเร็ว เช่น พวกแก๊สบ่มผลไม้ เป็นต้น ก่อนใช้ควรศึกษาและดูคำแนะนำในซอง หรือฉลากที่ปิดไว้ข้างภาชนะบรรจุ
การรมควัน
6.การรมควัน
การรมควันเป็นการถนอมอาหารที่ต่างไปจากการ ตากแห้งธรรมดา นอกจากจะทำให้อาหารแห้งแล้ว ยังช่วยรักษาให้อาหารเก็บได้นาน มีกลิ่นหอมและรสชาติแปลกซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก การรมควันที่สามารถทำได้ในครอบครัวจะเป็นแบบธรรมชาติิโดยการสุมไฟด้วยไม้กาบมะพร้าว ขี้เลื่อย ซางข้าวโพด ให้แขวนอาหารไว้เหนือกองไฟใช้ไฟอ่อนๆเพื่อให้รมควันอาหารไปพร้อมกับไอร้อนจะช่วยทำให้อาหารแห้งเร็ว เช่น รมควันปลา เป็นต้น

จันทรุปราคา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปรากฏการณ์ จันทรุปราคา หรือ ราหูอมจันทร์
จันทรุปราคา (เรียกได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น จันทรคาธ, จันทรคราส, ราหูอมจันทร์ หรือ กบกินเดือน) คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์, โลก และดวงจันทร์ เคลื่อนที่มาอยู่ในแนวระดับเดียวกันพอดี หากเกิดขึ้นในช่วงพระจันทร์เต็มดวง เมื่อดวงจันทร์ผ่านเงาของโลก จะเรียกว่า จันทรุปราคา ปรากฏการณ์จันทรุปราคาแม้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อในหลายวัฒนธรรมมาช้านาน รวมทั้งของไทยด้วย ซึ่งลักษณะของจันทรุปราคาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงจันทร์ที่เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลกในเวลานั้นๆ

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ประเภทของจันทรุปราคา

ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
  • จันทรุปราคาเงามัว* เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงามัวของโลก จันทรุปราคาลักษณะนี้จะสังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากความสว่างของดวงจันทร์จะลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • จันทรุปราคาเงามัวเต็มดวง เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงามัวของโลกทั้งดวงแต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในบริเวณเงามืด ดวงจันทร์ด้านที่อยู่ใกล้เงามืดมากกว่าจะมืดกว่าด้านที่อยู่ไกลออกไป จันทรุปราคาลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
  • จันทรุปราคาเต็มดวง* เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าสู่เงามืดของโลกทั้งดวง ดวงจันทร์จะอยู่ภายใต้เงามืดของโลกนานเกือบ 107 นาที เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วประมาณ 1 กิโลเมตรต่อวินาที แต่หากนับเวลาตั้งแต่ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนเข้าสู่เงามืดจนออกจากเงามืดทั้งดวง อาจกินเวลาถึง 6 ชั่วโมง 14 นาที
  • จันทรุปราคาบางส่วน เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงามืดของโลกเพียงบางส่วน จันทรุปราคาเกิดจากประมาณว่าดวงจันทรืมาบังดวงอาทิตย์

[แก้] ลักษณะของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง

จันทรุปราคาเต็มดวงในไทย วันที่ 5 พค.2547
เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้หายไปจนมืดทั้งดวง แต่จะเห็นเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากมีการหักเหของแสงอาทิตย์เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้
  • ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
  • ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลแต่มองไม่เห็นรายละเอียด ลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
  • ระดับ 2 ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
  • ระดับ 3 ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
  • ระดับ 4 ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม ด้านขอบของเงาสว่างมาก
ภาพชุดจันทรุปราคาเต็มดวงในไทย เช้ามืดวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2550 เกิดการหักเหของแสงเป็นสีส้ม เมื่อใกล้คราสเต็มดวง
ภาพขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง

[แก้] ปัจจัยในการเกิดจันทรุปราคา

จันทรุปราคาไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เนื่องจากระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์และระนาบการโคจรของดวงจันทร์รอบโลกทำมุมกัน 5 องศา ในการเกิดจันทรุปราคา ดวงจันทร์จะต้องอยู่บริเวณจุดตัดของระนาบวงโคจรทั้งสอง และต้องอยู่ใกล้จุดตัดนั้นมาก จึงจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงหรือจันทรุปราคาบางส่วนได้
ระยะห่างระหว่างโลกและดวงจันทร์มีผลต่อความเข้มของจันทรุปราคาด้วย นอกจากนี้ หากดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากโลกมากที่สุด (apogee) จะทำให้ระยะเวลาในการเกิดจันทรุปราคานานขึ้น ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ
1 ดวงจันทร์จะเคลื่อนที่อย่างช้าๆ เพราะตำแน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ช้าที่สุดตลอดการโคจรรอบโลก
2 ดวงจันทร์ที่มองเห็นจากโลกจะมีขนาดเล็ก จะเคลื่อนที่ผ่านเงาของโลกไปทีละน้อย ทำให้อยู่ในเงามืดนานขึ้น
ในทุกๆ ปีจะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากเก็บสถิติการเกิดจันทรุปราคาแล้ว จะสามารถทำนายวันเวลาในการเกิดจันทรุปราคาครั้งต่อไปได้
การสังเกตจันทรุปราคาแตกต่างจากสุริยุปราคา จันทรุปราคาส่วนใหญ่จะสามารถสังเกตได้จากบริเวณใดๆ บนโลกที่อยู่ในช่วงเวลากลางคืนขณะนั้น ขณะที่สุริยุปราคาจะสามารถสังเกตได้เพียงบริเวณเล็กๆ เท่านั้น
หากขึ้นไปยืนอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ขณะที่เกิดจันทรุปราคาบนโลก ก็จะสามารถเห็นการเกิดสุริยุปราคาบนดวงจันทร์ได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เนื่องจากการที่โลกกำลังบังดวงอาทิตย์อยู่ในเวลานั้น

[แก้] จันทรุปราคาในประเทศไทย

การเกิดจันทรุปราคาในประเทศไทย - 16 มิถุนายน 2554 เริ่ม 00.25-06.05 หมด